ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์ มูลนิธิโรงเรียนน่าอยู่เรียนรู้อย่างมีความสุขจังหวัดนครพนม พ.ศ.๒๕๕๒
ข้อบังคับ ของ มูลนิธิโรงเรียนน่าอยู่เรียนรู้อย่างมีความสุขจังหวัดนครพนม พ.ศ.๒๕๕๒ ---------------------------- หมวดที่ ๑ ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง ข้อ ๑. มูลนิธินี้มีชื่อว่า มูลนิธิโรงเรียนน่าอยู่เรียนรู้อย่างมีความสุขจังหวัดนครพนม พ.ศ.๒๕๕๒ ย่อว่า ม.นคร. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Good and Mastery Learning School Foundation. ย่อว่า GMLF. ข้อ ๒. เครื่องหมายของมูลนิธิ คือ มีความหมายว่า โรงเรียนคือบ้านแห่งที่ 2 ของเด็กนักเรียน และเด็กนักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ข้อ ๓. สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 333 ถนนอภิบาลบัญชา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ๔๘๐๐๐ หมวดที่ ๒ วัตถุประสงค์ ข้อ ๔. วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ คือ ๔.๑ เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่น่าอยู่ ครู ผู้บริหาร จัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีความสุข ๔.๒ เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการจัดกิจกรรมแก่นักเรียนและเยาวชน ๔.๓ เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๔.๔ เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ และให้ความร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ ๔.๕ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด หมวดที่ ๓ ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ข้อ ๕. ทรัพย์สินของมูลนิธิทุนเริ่มแรก คือ ๕.๑ เงินสด จำนวน ๗๑๕,๕๓๑.๙๓ บาท(เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นห้าพันห้าร้อยสามสิบเอ็ดบาทเก้าสิบสามสตางค์) ๕.๒ ที่ดิน(ถ้ามี) โฉนด เลขที่........-................................ รวมเป็นราคาทรัพย์สินทั้งสิ้น ๗๑๕,๕๓๑.๙๓ บาท(เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นห้าพันห้าร้อยสามสิบเอ็ดบาทเก้าสิบสามสตางค์) ข้อ ๖. มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้ ๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มียกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด ๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้ ๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ ๖.๔ รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ หมวดที่ ๔ คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ ข้อ ๗. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ ๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์ ๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ๗.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกเว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ข้อ ๘. กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ ๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ ๘.๒ ตายหรือลาออก ๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับ ข้อ ๗ ๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ หมวดที่ ๕ การดำเนินงานของคณะกรรมการของมูลนิธิ ข้อ ๙. มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕คน แต่ไม่เกิน ๑๕ คน ข้อ ๑๐. คณะกรรมการของมูลนิธิ ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธาน กรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ ๙ ข้อ ๑๑. การแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ แต่งตั้งประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ ข้อ ๑๒. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี ข้อ ๑๓. การแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม ข้อ ๑๔. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก ข้อ ๑๕. ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิ พ้นจากตำแหน่งถึงคราวออกตามวาระ ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งถึงคราวออกตามวาระปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่ หมวดที่ ๖ อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ ข้อ ๑๖. คณะกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น ๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ ๑๖.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงินและบัญชีรายรับ-รายจ่ายต่อนายทะเบียน ๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้ ๑๖.๔ ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ ๑๖.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะเพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๖.๗ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ ๑๖.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ ๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอน เจ้าหน้าประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ ๑๖.๗ , ๑๖.๘ และ ๑๖.๙ ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาตามข้อ ๑๖.๙ ต้องเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น ข้อ ๑๗. ประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้ ๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคับและสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทนได้ ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้ ๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ ข้อ ๑๘. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน ข้อ ๑๙. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคราวหนึ่งคราวใดได้ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น ข้อ ๒๐. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประชุมของมูลนิธิติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบ ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานประชุมตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ ข้อ ๒๑. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและเป็นตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ข้อ ๒๒. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน ข้อ ๒๓. คณะกรรมการของมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการอื่นๆของมูลนิธิได้ หมวดที่ ๗ อนุกรรมการ ข้อ ๒๔. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใด เป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็ได้ ข้อ ๒๕. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะอนุกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้ ๒๕.๑ อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย ๒๕.๒ อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย หมวดที่ ๘ การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ข้อ ๒๖. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ภายในเดือนมีนาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ข้อ ๒๗. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุม ก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้ สำหรับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๖ บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๘. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นได้ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๖ บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๙. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุจพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ ข้อ ๓๐. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานในที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้ บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ หมวดที่ ๙ การเงิน ข้อ ๓๑. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐.๐๐ บาท(สองหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป ข้อ ๓๒. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ข้อ ๓๓. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ์ ต้องนำฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลค้ำประกันหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล แล้วแต่คณะกรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร ข้อ ๓๔. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คจะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน เลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง ข้อ ๓๕. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงานให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ ข้อ ๓๖. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน บัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ข้อ ๓๗. ให้คณะกรรมการมูลนิธิจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาก เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี หมวดที่ ๑๐ การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ ข้อ ๓๘. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม หมวดที่ ๑๑ การเลิกมูลนิธิ ข้อ ๓๙. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครพนม เขต ๑ ข้อ ๔๐. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้ ๔๐.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์ตามคำมั่นเต็มจำนวน ๔๐.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก ๔๐.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ ๔๐.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หมวดที่ ๑๒ เบ็ดเตล็ด ข้อ ๔๑. การตีความข้อบังคับของมูลนิธิหากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด ข้อ ๔๒. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิไม่ได้กำหนดไว้ ข้อ ๔๓. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันหรือบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง